สีป้ายทะเบียนรถ ป้ายเหลือง ป้ายขาว สีอื่นๆ ต่างกันอย่างไรบ้าง

ป้ายทะเบียนรถ เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงว่ารถคันดังกล่าวนั้นได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมคะว่า แผ่นป้ายทะเบียนรถ ที่เรามักเห็นบนท้องถนนนั้นมีหลากหลายสี ที่พบบ่อยสุดก็จะเป็น ป้ายทะเบียนสีขาว ตัวหนังสือสีดำ และยังมีสีอื่นๆอีกมากมาย แต่เคยรู้หรือไม่ว่าความหมายจริงๆของแต่ละสีคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ใช้งานแบบไหน วันนี้ GRAB เลยได้รวบรวม สีป้ายทะเบียนรถ แต่ละสีมีความหมายอะไรบ้าง มาฝากเพื่อนๆกันค่ะ

สีป้ายทะเบียนรถมีแบบไหนบ้าง

  • ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ

รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน และรถจักรยานยนต์

  • ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน

รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน

  • ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว

รถบรรทุกส่วนบุคคล เช่น รถกระบะ รถบรรทุกขนาดเล็ก

  • ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ

รถจักรยานยนต์ / รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน

  • ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีแดง

รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด

  • ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน

รถยนต์ 4 ล้อรับจ้าง เช่น รถกระป๊อ

  • ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว

รถยนต์รับจ้าง 3 ล้อ เช่น รถตุ๊กๆ

  • ป้ายสีเขียวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีขาว/สีดำ

รถบริการทัศนาจร รถบริหารธุรกิจ รถบริการให้เช่า เช่น รถลีมูซีนสนามบิน

  • ป้ายสีส้มสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ

รถแทรกเตอร์ รถบนถนน รถพ่วง และรถที่ใช้ในทางเกษตรกรรม

  • ป้ายสีแดงสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ

รถยนต์ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนสามารถใช้งานบนถนนเพียงชั่วคราว

  • ป้ายสีขาวไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ

รถยนต์ของผู้แทนทางการทูตขึ้นต้นด้วย ท และตามด้วยรหัสประเทศขีดแล้วตาม     ด้วยเลขทะเบียนรถ

  • ป้ายสีฟ้าไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีขาว

รถเฉพาะหน่วยงานพิเศษ อักษร ก คือ คณะผู้แทนกงสุล, อักษร พ คือ หน่วยงานพิเศษในสถานทูต, อักษร อ : องค์กรระหว่างประเทศ

รถประเภทไหน ต้องจดทะเบียน

รถประเภทไหน ต้องจดทะเบียน

ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ. 2473  ซึ่งรายละเอียดที่แยกประเภทจะมีแบบลักษณะ และรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันออกไป โดยการแบ่งตามแต่ละประเภทนี้นำมาซึ่งความต่างของการเสียภาษี ค่าธรรมเนียมในการโอน และเอกสารในการทำเรื่องของกรมขนส่งที่แตกต่างกัน ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ได้มีการแบ่งประเภทรถจดทะเบียนในประเทศไทยจำแนกทั้งหมดเป็น 18 ประเภท จะแบ่งแต่ละประเภทอย่างไรบ้างตามรายละเอียดดังนี้

ประเภทที่ 1: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน หรือ รย.1 ขนาดของรถต้องกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 12 เมตร 

ประเภทรถจดทะเบียนนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน มีดังนี้ 

  • เก๋งตอนเดียว
  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน
  • นั่งสองแถว
  • นั่งสองตอนสองแถว
  • นั่งสองตอนท้ายบรรทุก
  • ประทุนตอนเดียว
  • ประทุนสองตอน
  • ตู้นั่งสามตอน
  • รถเฉพาะกิจ (มอเตอร์โฮม)
  • รถเฉพาะกิจ (ถ่ายทอดสัญญาณ)
  • รถเฉพาะกิจพยาบาล  ประเภทที่ 3 : รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล หรือ รย.3 ต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 12 เมตร รวมถึงความยาวของตัวถังวัดจากศูนย์กลางเพลาล้อหลังถึงท้ายรถต้องไม่เกิน 3 ใน 5 (สามารถความยาววัดจาก ศูนย์กลางเพลาล้อหน้าถึงศูนย์กลางเพลาล้อหลัง)

ประเภทของรถบรรทุกส่วนบุคคล มีดังนี้ 

  • เก๋งทึบบรรทุก
  • กระบะบรรทุกพื้นเรียบ
  • กระบะบรรทุก (ไม่มีหลังคา)
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคา)
  • กระบะบรรทุก (เสริมกระบะข้าง)
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคาฝาปิดด้านข้างและด้านท้าย)
  • ตู้บรรทุก
  • รถดับเพลิง
  • รถเฉพาะกิจ (ขยะมูลฝอย)
  • รถเฉพาะกิจ (คอนกรีต)
  • รถเฉพาะกิจ (น้ำอัดลม)
  • รถเฉพาะกิจ (น้ำ)
  • รถเฉพาะกิจ (ซีเมนต์ผง)

ประเภทที่ 2: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือ รย.2  รถต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 12 เมตร รวมถึงความยาวของตัวถัง ศูนย์กลางเพลาล้อหลังถึงท้ายรถ ต้องมีความยาวไม่เกิน 2 ใน 3 ของความยาว (สามารถวัดจากศูนย์กลางเพลาล้อและหน้าถึงศูนย์กลางเพลาล้อหลัง)

ประเภทรถจดทะเบียนนั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน มีดังนี้ 

  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอนสองแถว
  • นั่งสองแถว
  • ตู้นั่งสามตอน
  • ตู้นั่งสี่ตอน
  • รถเฉพาะกิจ (มอเตอร์โฮม)
  • รถเฉพาะกิจพยาบาล

ประเภทที่ 3: รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล หรือ รย.3 ต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 12 เมตร รวมถึงความยาวของตัวถังวัดจากศูนย์กลางเพลาล้อหลังถึงท้ายรถต้องไม่เกิน 3 ใน 5 (สามารถความยาววัดจาก ศูนย์กลางเพลาล้อหน้าถึงศูนย์กลางเพลาล้อหลัง)

ประเภทของรถบรรทุกส่วนบุคคล มีดังนี้ 

  • เก๋งทึบบรรทุก
  • กระบะบรรทุกพื้นเรียบ
  • กระบะบรรทุก (ไม่มีหลังคา)
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคา)
  • กระบะบรรทุก (เสริมกระบะข้าง)
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคาฝาปิดด้านข้างและด้านท้าย)
  • ตู้บรรทุก
  • รถดับเพลิง
  • รถเฉพาะกิจ (ขยะมูลฝอย)
  • รถเฉพาะกิจ (คอนกรีต)
  • รถเฉพาะกิจ (น้ำอัดลม)
  • รถเฉพาะกิจ (น้ำ)
  • รถเฉพาะกิจ (ซีเมนต์ผง)

ประเภทที่ 4: รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล หรือ รย.4 ขนาดของรถต้องมีขนาดความกว้างไม่เกิน 1.50 เมตร และยาวไม่เกิน 4 เมตร ส่วนในเรื่องของเครื่องยนต์ต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่เกิน 550 ลูกบาศก์เซนติเมตร

ประเภทของรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีดังนี้ 

  • ประทุนสองตอน 
  • ประทุนสามตอน 
  • ประทุนสองแถว
  • กระบะบรรทุกพื้นเรียบ 
  • กระบะบรรทุก (ไม่มีหลังคา) 
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคา) 
  • กระบะบรรทุก (เสริมกระบะข้าง) 
  • กระบะบรรทุก (มีหลังคาปิดด้านข้างและด้านท้าย) 
  • ตู้บรรทุก 

ประเภทที่ 5: รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด หรือ รย.5 แน่นอนว่าตามประเภทนี้ต้องเป็นรถเก๋งสองตอนไม่ต่ำกว่าสี่ประตูเท่านั้น (น้ำหนักรถไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม) ขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 6 เมตร รวมถึงเครื่องยนต์ต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร และที่สำคัญตามกฎหมายรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารห้ามเกินเจ็ดคน

ประเภทรถรับจ้างระหว่างจังหวัด มีดังนี้ 

  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน

ประเภทที่ 6: รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน หรือรย.6 นอกจากจะต้องเป็นรถเก๋งสองตอน ขนาดห้ามกว้างเกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 6 เมตร นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดอื่นๆในรถประเภทนี้ที่กำหนดไว้อีกด้วย

  • มีประตูไม่ต่ำกว่าสี่ประตู ซึ่งต้องเป็นประตูที่มิได้ติดตั้งระบบควบคุมการปิดเปิดประตูรถจากศูนย์กลาง (CENTRAL LOCK) 
  • กระจกกันลมต้องโปร่งใสเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในรถและสภาพการจราจรภายนอก
  • ห้ามติดวัสดุใดหรือปิดส่วนใด ของกระจก เว้นแต่เป็นเครื่องหมายหรือเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด หากติดวัสดุที่มีลักษณะบังหรือกรองแสงแดดที่กระจกกันลมหน้าจะต้องปฏิบัติตามขนาดที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด
  • เครื่องยนต์ต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตรขึ้นไป 
  • ประเภทรถจดทะเบียนรถยนต์รับจ้าง หรือ รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 17 เมษายน 2535 ข้อกำหนดคือต้องเป็นรถเก๋งสองตอนหรือรถเก๋งสองตอนที่มีพื้นที่บรรทุกภายในรถ ตัวรถต้องผลิตจากสำเร็จจากผู้ผลิตเท่านั้น และมีความกว้างของตัวรถต้องไม่เกิน 2.5 เมตร ความยาวต้องไม่เกิน 6 เมตร มีประตูไม่ต่ำกว่าสี่ประตู และมีเครื่องยนต์ที่มีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร

ประเภทรถรับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน  มีดังนี้ 

  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน

ประเภทที่ 7: รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง หรือ รย.7 ลักษณะของประเภทรถจดทะเบียนนี้ต้องเป็นรถสองตอน ขนาดของรถต้องมีความกว้างของไม่เกิน 1.50 เมตร ยาวไม่เกิน 4 เมตร และมีมากกว่าสองประตู 

ประเภทรถสี่ล้อเล็กรับจ้าง มีดังนี้

  • นั่งสองตอน

ประเภทที่ 8: รถยนต์รับจ้างสามล้อ หรือ รย.8 ต้องรถรับจ้างสามล้อแบบเปิดประทุนนั่ง 2 ตอน หรือ 2 แถวนั่นเอง ขนาดกว้างห้ามเกิน 1.50 เมตร และยาวไม่เกิน 4 เมตร 

ประเภทรถรับจ้างสามล้อ มีดังนี้

  • ประทุนสองตอน
  • ประทุนสองแถว

ประเภทที่ 9: รถยนต์รับจ้างสามล้อ หรือ รย.9 รถยนต์บรรทุกคนโดยสาร หรือให้เช่า ซึ่งบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ลักษณะเป็นรถเก๋ง สองตอนไม่ต่ำกว่าสี่ประตู น้ำหนักรถไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม ขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งเป็นรถยนต์โดยสารประจำทางเป็นพาหนะที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารระหว่างสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อขนส่งผู้โดยสารไปยังโรงแรม ที่อยู่อาศัย สำนักงานผู้โดยสาร หรือผู้ให้บริการทางธุรกิจ

ประเภทรถรับจ้างสามล้อ มีดังนี้

  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน

ประเภทที่ 10: รถยนต์บริการทัศนาจร หรือ รย.10 อนุญาตให้ใช้รถยนต์โดยสารหรือรถเช่าที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่เกิน 7 คน ต้องเป็นรถเก๋งสองตอนไม่ต่ำกว่าสี่ประตู น้ำหนักรถไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม ขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งเป็นประเภทรถจดทะเบียนที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวใช้ในการขนส่งผู้โดยสารเพื่อการท่องเที่ยว

ประเภทรถบริการทัศนาจร  มีดังนี้

  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน

ประเภทที่ 11: รถยนต์บริการให้เช่า หรือ รย.11 รถยนต์โดยสารหรือรถเช่าที่สามารถนั่งได้เพียง 7 คน ต้องเป็นรถเก๋งสองตอนไม่ต่ำกว่าสี่ประตู รถยนต์ต้องมีน้ำหนักรถไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม ขนาดของรถกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร และยาวไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งมิใช่รถที่ให้เช่าเพื่อบรรทุกคนโดยสารหรือสิ่งของ.

ประเภทรถบริการให้เช่า  มีดังนี้

  • เก๋งสองตอน
  • เก๋งสองตอนแวน
  • เก๋งสามตอน
  • เก๋งสามตอนแวน
  • นั่งสองตอน
  • นั่งสองตอนแวน
  • นั่งสามตอน
  • นั่งสามตอนแวน

ประเภทที่ 12: รถจักรยานยนต์ หรือ รย.12 ลักษณะของรถนั้นต้องมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้อเพิ่ม อีกไม่เกินหนึ่งล้อเท่านั้น ขนาดกว้างไม่เกิน 1.10 เมตร และยาวไม่เกิน 2.50 เมตร ในกรณีที่มีพ่วงข้างลักษณะรถพ่วงของรถจักรยานยนต์ต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 1.10 เมตร และยาวไม่เกิน 1.75 เมตร อีกทั้งหากเมื่อนำมาพ่วงกับรถจักรยานยนต์แล้วจะต้องกว้างไม่เกิน 1.5 เมตร จากล้อหลังของรถจักรยานยนต์ถึงล้อรถพ่วง

ประเภทรถจักรยานยนต์  มีดังนี้

  • จักรยานยนต์
  • จักรยานยนต์พ่วงข้าง (มี/ไม่มีหลังคา)

ประเภทที่ 13: รถแทรกเตอร์ หรือ รย.13 เยานยนต์คือยานพาหนะที่มีล้อหรือสายพานซึ่งมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในตัวเอง เป็นเครื่องจักรเกี่ยวกับการขุด ตัก ดัน หรือฉุดลาก เป็นต้น ตามลักษณะที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องมีความกว้างไม่เกิน 4.40 เมตร และยาวไม่เกิน 16.20 เมตร

ประเภทรถแทรกเตอร์  มีดังนี้

  • รถขุดตัก
  • รถแทรกเตอร์
  • รถแทรกเตอร์ที่ใช้ในการเกษตร

ประเภทที่ 14: รถบดถนน หรือ รย.14 รถที่รู้จักกันดีอย่างรถทำถนน (บดอัดวัสดุบนพื้นให้แน่น) ต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 3.50 เมตร และยาวไม่เกิน 8 เมตร

ประเภทที่ 15: รถใช้งานเกษตรกรรม หรือ รย.15 รถที่ใช้เพื่องานเกษตรเท่านั้น และมีสามหรือสี่ล้อตามลักษณะบังคับต้องมีขนาดกว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวไม่เกิน 6 เมตร รวมถึงเครื่องยนต์ต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่เกิน 1,200 ลูกบาศก์เซนติเมตร

ประเภทที่ 16: รถพ่วง หรือ รย.16 เป็นส่วนพ่วง หรือรถส่วนที่ต้องใช้รถอื่นลากจูงนั่นเอง ขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร ยาวไม่เกิน 12 เมตร

ประเภทที่ 17: รถจักรยานยนต์สาธารณะ หรือ รย.17 จักรยานยนต์ที่ใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ความกว้างไม่เกิน 1.10 เมตร ความยาวไม่เกิน 2.50 เมตร และมีความสูงไม่เกิน 2 เมตร 

*ไม่รวมรถจักรยานยนต์ที่มีพ่วงข้างและจักรยานที่ติดเครื่องยนต์

ประเภทที่ 18: รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือแอปพลิเคชัน หรือ รย.18 โดยต้องเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น  ไม่สามารถเรียกโบกรถระหว่างทางได้ และต้องคิดค่าบริการจากแอปพลิเคชันเท่านั้นห้ามเรียกราคาเหมาจ่าย

รย.18 หรือ รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

จดทะเบียนรถยนต์รับจ้างผ่านแอปฯ มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ดูสถานที่นำรถไปยื่นคำขอ และตรวจสภาพ

ตรวจสอบข้อมูลตามทะเบียนรถได้ดังนี้

ผู้ถือกรรมสิทธิ์ ทะเบียนรถ ทะเบียนบ้าน ยื่นคำขอ และตรวจสภาพ
คนขับ กทม. กทม. เขต 5 หรือตามทะเบียนบ้าน
กทม. ต่างจังหวัด เขต 5 หรือตามทะเบียนบ้าน
ต่างจังหวัด กทม. ขนส่งประจำ จ. ที่รถจดทะเบียน
ต่างจังหวัด ต่างจังหวัด ขนส่งประจำ จ. ที่รถจดทะเบียน
ไฟแนนซ์ กทม. เขต 5 หรือขนส่งประจำพื้นที่ของไฟแนนซ์
ต่างจังหวัด ขนส่งประจำพื้นที่ของไฟแนนซ์

ขั้นตอนที่ 2: ขอความเห็นชอบ

  • รถทะเบียน กทม.
    • กรอก ฟอร์ม พร้อมอัปเดตเอกสาร เพื่อขอใบรับรองสังกัดแอปจากแกร็บ (ตามขั้นตอนก่อนหน้า)
    • จัดเตรียมเอกสารให้พร้อม
    • เมื่อถึงวันที่จอง นำเอกสารเข้าขอความเห็นชอบที่ขนส่ง เขต 5 อาคาร 3 ชั้น 3 (ค่าธรรมเนียม 5บ.)
      • แนะนำให้ไปที่ขนส่งภายในเวลา 8.00 น เพื่อให้ดำเนินการเสร็จภายใน 1 วัน
      • กรอกใบขอความเห็นชอบ และยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่

เมื่อดำเนินการขอความเห็นชอบเรียบร้อย จะได้เอกสารสำหรับส่งตรวจสภาพรถ (นำไปใช้ในขั้นตอนตรวจสภาพรถต่อไป)

  • รถทะเบียนต่างจังหวัด
    • กรอกฟอร์ม พร้อมอัปเดตเอกสาร เพื่อขอใบรับรองสังกัดแอปจากแกร็บ (ตามขั้นตอนก่อนหน้า)
    • นำเอกสารไปยื่นขอความเห็นชอบ ที่สำนักงานขนส่งหลักของจังหวัด (ค่าธรรมเนียม 5บ.)

เมื่อเซ็นเอกสารขอความเห็นชอบแล้ว ไปตรวจสภาพรถ และจดทะเบียนตามขั้นตอนถัดไปได้เลย

ขั้นตอนที่ 3: นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพ

  • นำเอกสารส่งตรวจสภาพรถ (ได้หลังจากเซ็นหนังสือขอความเห็นชอบ) มายื่นที่ส่วนตรวจสภาพรถ
  • นำรถเข้าตรวจสภาพ ในจุดที่กรมขนส่งแต่ละสาขากำหนด
  • กลับมารับเอกสารรับรองการตรวจสภาพรถที่ส่วนตรวจสภาพรถ เพื่อนำไปยื่นจดทะเบียน

ขั้นตอนที่ 4: ยื่นจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างสาธารณะผ่านแอป ฯ

  • ยื่นเอกสารรับรองการตรวจสภาพที่ส่วนทะเบียนรถยนต์ (ค่าธรรมเนียม 25บ./ หากรถติดไฟแนนซ์มีค่าธรรมเนียมเพิ่ม 25บ.)
  • รอรับเอกสารยืนยันการเปลี่ยนประเภทรถยนต์

ขั้นตอนที่ 5: รับสติ๊กเกอร์ รถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

  • นำเอกสารการจดทะเบียนกลับมายื่นที่ส่วนตรวจสภาพรถ
  • ชำระค่าธรรมเนียม (50 บ.) และรับสติกเกอร์รับรองการเป็นรถรับจ้างสาธารณะ

เมื่อได้รับสติ๊กเกอร์แล้ว อย่าลืมอัปเดตในแอป Grab Driver ด้วยนะคะ

คุณสมบัติรถที่สามารถจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างผ่านแอปฯ ได้

  1. สามารถจดทะเบียนรถได้คนละ 1 คัน
  2. ชื่อเจ้าของรถจะต้องตรงกับชื่อผู้ให้บริการเท่านั้น
  3. รถยนต์ที่นำมาจดทะเบียนจะต้องมีอายุไม่เกิน 9 ปี
  4. ไม่ต้องเปลี่ยนทะเบียนเป็นป้ายเหลือง และไม่มีข้อกำหนดเรื่องติดฟิล์ม

พิเศษ! แกร็บใจดีออกให้! ค่าใช้จ่ายไฟแนนซ์ เมื่อจดรถรับจ้างผ่านแอปฯ คลิกเพื่อดูรายละเอียด

สำหรับการจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างผ่านแอปฯ ทางแกร็บได้มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกให้พี่ ๆ ทำการจดทะเบียนรถรับจ้างในทุก ๆ ขั้นตอน ซึ่งจะทำให้พี่ ๆ คนขับที่รับงานกันอยู่แล้วก็สามารถขับขี่ รับงานได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลอีกต่อไป รวมถึงพี่ ๆ คนขับที่ต้องการ ต่อภาษี และสติ๊กเกอร์รถรับจ้างผ่านแอปฯ Grab ก็ได้รวบรวมวิธีการมาเรียบร้อยแล้ว พี่ ๆ สามารถทำตามที่ Grab แนะนำได้เลยค่ะ 

อย่างไรก็ตาม รถยนต์หรือยานพาหนะต่าง ๆ ที่มีการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรใช้งานรถให้ตรงกับประเภทของป้ายทะเบียนนั้น หากมีการใช้งานที่ผิดประเภท และเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกับการใช้ป้ายทะเบียนซีด สีป้ายทะเบียนจาง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ เช่น หมวดอักษร ตัวเลข หรือจังหวัด ได้อย่างชัดเจน สามารถดำเนินการขอแผ่นป้ายทะเบียนใหม่ที่กรมการขนส่งทางบก นอกจากนี้หากสนใจสมัคร GrabBike GrabCar หรืออยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://www.grab.com/th/driver/drive/