ในช่วงวันหยุดยาวการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่หลาย ๆ ครอบครัวรอคอยไปเที่ยวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่สิ่งสำคัญที่สุดก่อนเตรียมเดินทางไกลนั้นคือการเตรียมตรวจเช็คสภาพรถ เครื่องยนต์ยานพาหนะเราให้พร้อมกับการเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นในการเดินทาง Grab จึงได้รวบรวมวิธีการเช็ครถก่อนเดินทางไกลที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ มาฝากกัน
Highlight
- เช็คตาแมวบนแบตเตอรี่
- สีและระดับน้ำมันเครื่อง
- สังเกตสภาพโดยรวมของยาง
- น้ำมันเบรกและระบบเบรก
- สังเกตความสว่างของไฟคู่หน้าและไฟท้าย
- ใบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก
- เช็คน้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์
- แผ่นกรองอากาศ
- เช็คระบบแตรรถยนต์
- แผงควบคุมและหน้าปัด
- ทริคเพิ่มเติม ระหว่างการขับขี่

1. เช็คตาแมวบนแบตเตอรี่
วิธีเช็ครถก่อนเดินทางไกลในอันดับแรก ควรเช็คก่อนว่าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ โดยสามารถดูได้จากตาแมวบนแบตเตอรี่ซึ่งจะบ่งบอกค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดว่าอยู่ในสถานะไหน
- สีเขียว = แบตเตอรี่มีไฟปกติ
- สีดำ = ไฟอ่อน ต้องทำการรีชาร์จไฟ
- สีขาว = น้ำกลั่นแห้ง เกิดจากแบตเตอรี่ถูก overcharge เช่น ถูกไดชาร์จรถยนต์ overcharge หรือ ถูกเครื่องชาร์จ overcharge เป็นเวลานาน ๆ

2. สีและระดับน้ำมันเครื่อง
ก่อนขับทางไกลควรมีการเช็คสี และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ระบบกลไกต่าง ๆ ในเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
- วิธีเช็คสีน้ำมันเครื่อง
หากน้ำมันเครื่องมีสีเหลืองโปร่งแสง คือสะอาดมีประสิทธิภาพ แต่หากน้ำมันเครื่องเปลี่ยนเป็นสีดำ บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องเก่าหรือสกปรก
-
- วิธีเช็คระดับน้ำมันเครื่อง
ขั้นแรกจะต้องดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาทำความสะอาดแล้วเสียบกลับไปจุดเดิม ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินจะดีที่สุด

3. สังเกตสภาพโดยรวมของยาง
การตรวจเช็คสภาพรถแน่นอนว่ายางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญที่ควรเช็คก่อนออกเดินทางมาก ๆ โดยต้องสังเกตจากดอกยางซึ่งจะต้องไม่มีการฉีกขาด ไม่แตกลายงา มีดอกยางเพียงพอ และลมยางจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มีการรั่วซึม และสภาพโดยรวมของล้อจะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน ไม่คด ไม่เบี้ยว

4. น้ำมันเบรกและระบบเบรก
การเช็ครถก่อนเดินทางไกล อย่างการดูน้ำมันเบรกและระบบเบรกนับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งเวลาขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น การควบคุมรถจะยากกว่าปกติ ควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรก และน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และอย่าลืมเช็คน้ำมันเบรก ผ้าเบรกรวมถึงระบบเบรกว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หากน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับ Min หรือมีการลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดการรั่วในระบบเบรก ควรนำรถเข้าตรวจเช็คโดยช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย

5. สังเกตความสว่างของไฟคู่หน้าและไฟท้าย
ก่อนขับรถทางไกลควรตรวจเช็คสภาพรถและความสว่างของไฟคู่หน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ไฟเบรกให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมทั้งสังเกตไฟเตือนต่าง ๆ หากมีการแจ้งเตือน ต้องแก้ไขปัญหาก่อนออกเดินทาง ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีเช็ครถยนต์ก่อนเดินทางไกลขั้นพื้นฐานที่ควรทำ เพราะหากไฟรถมีความสว่างไม่เพียงพอ หรือไฟรถอันใดอันนึงเสีย อาจทำให้เราและผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ เกิดอุบัติเหตุได้

6. ใบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก
ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ทำให้วิสัยทัศน์ที่มองผ่านกระจกนั้นชัดเจน ปลอดภัย ในสถานการณ์ที่ฝนตก หรือกระจกขุ่มมัว ดังนั้นที่ปัดน้ำฝนจึงเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ ควรตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝนว่า สามารถรีดน้ำได้ดีหรือไม่ มีอาการเปื่อย ยุ่ย หรือเสื่อมสภาพหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวควรเปลี่ยนใหม่ทันที รวมถึงน้ำฉีดกระจกที่ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

7. เช็คน้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์
เกียร์และคลัตช์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการควบคุมรถยนต์ให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานของเกียร์และคลัตช์ จึงต้องสมบูรณ์พร้อมก่อนออกเดินทางไกล รวมถึงน้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์ต้องไม่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Min หากพบว่ามีระดับที่ต่ำกว่าแสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับระบบเกียร์และระบบคลัตช์ ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน

8. แผ่นกรองอากาศ
แผ่นกรองอากาศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องรถจากสิ่งไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ภายนอก โดยแผ่นกรองอากาศที่อุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอได้ การตรวจสอบแผ่นกรองอากาศใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงเปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจดู ทำการดูดสิ่งสกปรกออก หรือจะเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ในกรณีที่จำเป็น

9. เช็คระบบแตรรถยนต์
คนส่วนใหญ่มักไม่คิดว่าจะต้องตรวจระบบแตรด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแตรรถมีความสำคัญอย่างมาก เพราะในขณะขับขี่เราอาจจำเป็นต้องใช้แตรเพื่อสื่อสาร และส่งสัญญาณกับรถคันอื่น ดังนั้นก่อนเดินทางไกลอย่าลืมเช็คระบบแตรว่ายังเสียงดังและลมแตรยังดีอยู่หรือไม่ด้วย

10. แผงควบคุมและหน้าปัด
นอกจากตรวจเช็คสภาพรถภายนอกแล้ว แผงควบคุมและหน้าปัด จัดได้ว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ควรตรวจสอบว่าสามารถทำได้ได้อย่างปกติดีมั้ย มีสัญญาณอะไรแจ้งเตือนขึ้นบ้าง เพราะเราจะทราบทันทีจากระบบแจ้งเตือนว่าควรตรวจเช็คอะไรบ้าง นอกจากการตรวจสอบแล้วควรมีความรู้แล้วความเข้าใจในทุก ๆ สัญญาณเตือนบนแผงควบคุมและหน้าปัดด้วย เพื่อสามารถให้การเดินทางของคุณสามารถออกเดินทางได้อย่างสบายใจหายห่วง
ทริคเพิ่มเติม ระหว่างการขับขี่
- เติมน้ำมันให้เต็มถัง
- ตรวจสอบใบขับขี่ พรบ. ประกันรถยนต์ และจดเบอร์โทรฉุกเฉินไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
- วิธีคลายง่วง ดื่มน้ำเปล่าเติมความสดชื่น, จิบกาแฟระหว่างขับรถ, แวะพักยืดเส้น ยืดสาย ลดการปวดเมื่อย, เปิดเพลงฟังระหว่างขับ
- วางแผนการเดินทาง เผื่อเวลาสำหรับการจราจร
- ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร
การตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกลเป็นสิ่งสำคัญและไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะการตรวจเช็คสภาพรถอย่างละเอียดจะช่วยให้แน่ใจว่ารถของคุณอยู่ในสภาพดี ปลอดภัยสำหรับการเดินทาง และหากต้องการใช้รถในการให้บริการลูกค้าก็มั่นใจได้เลยว่าการเดินทางแต่ละครั้งก็จะไม่ต้องมานั่งกังวล หรือเสียเวลาซ่อมรถระหว่างทาง หากสนใจสมัคร GrabCar หรืออยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ https://www.grab.com/th/driver/drive/
FAQs
Q: ทำไมควรตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกลหรือขับรับงาน Grab?
A: การตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกลหรือก่อนขับรับงาน Grab เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วยให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ปลอดภัยต่อทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร อีกทั้งยังช่วยป้องกันปัญหารถเสียกลางทาง ซึ่งอาจกระทบต่อการให้บริการและรายได้ในแต่ละวันได้ด้วย
Q: หากต้องใช้รถรับงาน Grab ควรตรวจเช็คส่วนใดบ้างก่อนออกถนน?
A: ควรตรวจเช็ค 10 จุดหลักก่อนออกเดินทาง ได้แก่ แบตเตอรี่, น้ำมันเครื่อง, ยาง, ระบบเบรก, ไฟหน้า-ไฟท้าย, ที่ปัดน้ำฝน, น้ำมันเกียร์และคลัตช์, แผ่นกรองอากาศ, แตร และหน้าปัดควบคุม เพื่อให้มั่นใจว่ารถพร้อมใช้งานทุกวันอย่างปลอดภัย และลดโอกาสเกิดปัญหาระหว่างขับรับผู้โดยสาร
Q: การตรวจเช็ครถมีผลต่อการสมัครขับ Grab หรือไม่?
A: มีผลในทางอ้อม เพราะ Grab ต้องการให้การขับรถปลอดภัย และพร้อมให้บริการ การตรวจเช็ครถก่อนสมัครหรือก่อนใช้งานจริง จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจทั้งต่อผู้ขับและผู้โดยสาร อีกทั้งยังช่วยผ่านการตรวจสภาพรถได้ง่ายขึ้นในขั้นตอนการสมัครขับ GrabCar หรือ GrabBike
Q: ถ้ารถมีปัญหาเล็กน้อย เช่น แตรไม่ดังหรือไฟท้ายขาด ยังสามารถสมัคร Grab ได้ไหม?
A: ควรแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนสมัคร เพราะ Grab ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก รถที่มีอุปกรณ์ไม่สมบูรณ์ เช่น แตรไม่ทำงาน หรือไฟท้ายขาด อาจไม่ผ่านการตรวจสภาพเบื้องต้น ดังนั้นควรตรวจเช็คและซ่อมแซมก่อนสมัคร เพื่อให้การอนุมัติผ่านรวดเร็ว
Q: หากตรวจเช็ครถพร้อมแล้ว อยากสมัครขับ Grab ต้องทำอย่างไร?
A: เพียงเตรียมเอกสารพื้นฐาน เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ พ.ร.บ. และประกันรถยนต์ จากนั้นสามารถสมัครออนไลน์ได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ https://www.grab.com/th/driver/drive/
เลือกประเภทบริการที่ต้องการ เช่น GrabCar หรือ GrabBike เมื่อผ่านการตรวจสอบและอบรมเบื้องต้น ก็สามารถเริ่มรับงานและสร้างรายได้ได้ทันที